วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


                                                                   ประวัติ[แก้]

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการสนับสนุนให้ก่อตั้งในสมัยของอธิการบดี เภสัชกร ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ โดยทาบทาม ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมพร โพธินาม เป็นประธานโครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งมีแนวคิดให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นสถาบันที่เป็นเลิศทางวิชาการด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ผลิตบัณฑิตและแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชนที่มีคุณภาพ กอปรด้วยคุณธรรมและจริยธรรม สร้างงานวิจัยที่มีคุณค่า เป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการของท้องถิ่น ประเทศชาติ และนานาชาติและยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 10/2546 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 โดยดำเนินการในรูปแบบหน่วยงานนอกระบบราชการที่เน้นความคล่องตัวมีประสิทธิภาพและพึ่งตนเองมากที่สุด และได้รับโอนหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ จากคณะเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพไว้ในคณะแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547 มีนิสิต 84 คน จำนวน 2 รุ่น และหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (6 ปี) หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2549 ได้การรับรองจากแพทยสภา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2549 และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 5 / 2549 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ ดำเนินการจัดการเรียนการสอน 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (6 ปี) (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2549) หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2548) และหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ


                  ศูนย์บริการทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะแพทยศาสตร์ ได้ดำเนินการเปิดให้บริการทางการแพทย์ เป็นครั้งแรก ณ ศูนย์บริการทางการแพทย์ (ที่ตั้งขามเรียง) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 และเปิดให้บริการ ณ ศูนย์บริการทางการแพทย์ (เขตพื้นที่ในเมือง) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549 คณะแพทยศาสตร์ ยังได้เปิดศูนย์บริการทางการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โดยให้บริการด้านการหัตถบำบัดและรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร และส่งเสริมสุขภาพ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 และเปิดสถานผลิตยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2550

ปัจจุบันทางคณะกำลังมีการก่อสร้าง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปและเป็นที่ฝึกฝนประสบการณ์ของนิสิตแพทย์ของมหาวิทยาลัย

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

                                                                    ประวัติ[แก้]

                                                        วิชาการแพทย์ไทยแต่เดิมพัฒนาจากการใช้ยาสมุนไพรและรับการรักษาจากหมอยาตำราหลวงตามแบบแผนอย่างไทย ต่อมาเมื่อมีคณะมิชชันนารีจากต่างประเทศเข้ามาเผยแผ่ศาสนาพร้อมกับวิทยาการทางการแพทย์แผนตะวันตกในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เกิดรูปแบบการรักษาพยาบาลแบบใหม่ขึ้นในประเทศ ไม่นานในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น เพื่อจัดระเบียบและยกระดับมาตรฐานการแพทย์และการสาธารณสุขในประเทศให้สมกับความรุ่งเรืองของประเทศ พระองค์ทรงจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2429ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 ท่าน คือ
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิริธัชสังกาศ เป็นนายก
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี
เจ้าหมื่นสรรเพชรภักดี
ดอกเตอร์ ปีเตอร์ เคาแวน แพทย์ประจำพระองค์
เป็นผู้ร่วมดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศ คณะกรรมการได้กราบทูลขอแบ่งพื้นที่พระราชวังบวรสถานพิมุขด้านใต้อันเป็นพื้นที่หลวงร้างฝั่งธนบุรี เพื่อเป็นพื้นที่ก่อสร้างโรงพยาบาลและซื้อที่ริมข้างเหนือโรงเรียนของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพื่อทำท่าขึ้นโรงพยาบาล และตั้งชื่อว่า “โรงพยาบาลวังหลัง”




                       คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ในปี พ.ศ. 2430 ขณะกำลังก่อสร้างโรงพยาบาล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ประชวรสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคบิด สร้างความโศกเศร้าพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี เป็นอย่างมาก จึงมีพระราชประสงค์พระราชทานโรงพยาบาลเพื่อเป็นพระราชกุศล เมื่อเสร็จสิ้นงานพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว ได้พระราชทานไม้ที่ใช้สร้างพระเมรุมาศจำนวน 15 หลังมาเป็นวัสดุสำหรับก่อสร้างโรงพยาบาลวังหลัง ทั้งยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ในส่วนของเจ้าฟ้าศิริราชฯ จำนวน 700 ชั่ง (56,000 บาท) เป็นค่าก่อสร้างอีกด้วย ตามพระราชปรารภของพระองค์ในพระราชหัตถเลขาถึงคณะกรรมการสร้างโรงพยาบาล ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ลงวันอังคาร เดือนอ้าย แรม 7 ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิ์ศก จุลศักราช 1250 ใจความตอนหนึ่งว่า

"...ภายหลังเกิดวิบัติเคราะห์ร้าย ลูกซึ่งเป็นที่รักตายเป็นที่สลดใจด้วยการที่รักษาเจ็บไข้ เห็นแต่ว่าลูกเราพิทักษ์รักษาเพียงนี้ ยังได้ความทุกขเวทนาแสนสาหัส ลูกราษฎรที่อนาถาทั้งปวงจะได้ความลำบากทุกข์เวทนายิ่งกว่านี้ประการใด ยิ่งทำให้มีความปรารถนาที่จะให้มีโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น ภายหลังกรมหมื่นดำรงราชนุภาพคิดการที่จะตั้งโรงพยาบาล ทำความเห็นมายื่น เห็นว่าเป็นทางที่จะจัดการตลอดได้ จึงได้ตั้งท่านทั้งหลายเป็นคอมมิตตีจัดการ แลได้ปรึกษากับแม่เล็กเสาวภาผ่องศรี มีความชื่นชมในการที่จะสงเคราะห์แก่คนที่ได้ความลำบากด้วยป่วยไข้นี้ด้วย ยอมยกทรัพย์สมบัติของลูกที่ตายให้เป็นส่วนในการทำโรงพยาบาลนี้ เป็นต้นทุน..."








พระเมรุ 5 ยอด สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ณ ท้องสนามหลวง
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นวันกำเนิดโรงพยาบาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโรงพยาบาล และพระราชทานนามใหม่แก่โรงพยาบาลว่า “โรงศิริราชพยาบาล” สังกัดกรมพยาบาลอันมีพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์เป็นอธิบดี เมื่อตั้งโรงพยาบาลแล้ว ในชั้นแรกคณะกรรมการได้เชิญหมอหลวงที่มีชื่อเสียงมาเป็นแพทย์ใหญ่ ซึ่งได้พระประสิทธิวิทยา (หนู) ซึ่งภายหลังได้เป็นพระยาประเสริฐศาสตร์ธำรง พร้อมกับลูกศิษย์อีก 2 คน

ในช่วงนั้น คณะกรรมการเห็นว่าการจัดหาแพทย์สำหรับโรงพยาบาลค่อนข้างลำบาก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ จึงได้กราบบังคมทูลให้มีการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแพทย์และเพื่อการอบรมการรักษาด้วยการผ่าตัดสมัยใหม่ให้แก่แพทย์ไทยด้วย โดยตั้งโรงเรียนขึ้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าโรงพยาบาลในปี พ.ศ. 2432 และเปิดสอนตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2433 รับสมัครเข้าศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน มีดอกเตอร์ยอร์ช แมกฟาแลนด์ (หมอเมฆฟ้าลั่น ภายหลังได้เป็น อำมาตย์เอก ศาสตราจารย์พระอาจวิทยาคม) เป็นอาจารย์แพทย์ กระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 จึงได้เปิด “โรงเรียนแพทยากร” ขึ้นอย่างเป็นทางการตามพระบรมราชโองการ และพัฒนาต่ออย่างรวดเร็วจนได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนราชแพทยาลัย” ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2443

ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบรมชนกนาถ ในโอกาสนี้ได้ทรงรวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็น 1 ใน 4 คณะแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า “คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ต่อมาได้เปลี่ยนนามตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2461 เป็น “คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล”

ในปี พ.ศ. 2464 รัฐบาลได้เริ่มเจรจากับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) โดยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงรับเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการเจรจาเพื่อขอความช่วยเหลือปรับขยายหลักสูตรของคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลให้ถึงระดับปริญญา โดยมีโรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลฝึกหัด นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ ยังทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างตึกในโรงพยาบาลศิริราชหลายหลัง และยังได้พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย สำหรับไปศึกษายังต่างประเทศเพื่อให้กลับมาเป็นอาจารย์ นับได้ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ มีพระมหากรุณาธิคุณต่อศิริราชและการแพทย์แผนปัจจุบันของไทยเป็นอย่างมาก ทางคณะฯ จึงได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ไว้ ณ ใจกลางโรงพยาบาล และถวายพระราชสมัญญาว่า “องค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย”

ในรัฐบาลสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้จัดระเบียบการบริหารราชการใหม่และก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” ขึ้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 โดยโอนคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกทันตแพทยศาสตร์ แผนกสัตวแพทยศาสตร์และแผนกเภสัชศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นคณะในสังกัดของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ก่อนจะย้ายมาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2502

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามใหม่แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ว่า “ มหาวิทยาลัยมหิดล ” พร้อมกันนี้ คณะได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล” มหาวิทยาลัยมหิดล โดยในระหว่างนี้ได้ช่วยเหลือในการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นและคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ด้วย

ปี พ.ศ. 2547 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นจำนวน 30 ไร่ รวมเป็น 107 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นสถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารโครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ณ บริเวณสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) เขตบางกอกน้อย และพระราชทานนาม ดังนี้ สถาบันการแพทย์ชื่อว่า สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช (Sayamindradhiraj Medical Institute), อาคารโรงพยาบาลชื่อว่า อาคารปิยมหาราชการุณย์ (Piyamaharajkarun Building) และอาคารวิจัยชื่อว่า อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ (His Majesty the King’s 80th Birthday Anniversary 5th December 2007 Building) ภาควิชาและหน่วยงาน[แก้] ภาควิชา[แก้]

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ประวัติ[แก้]
              
 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มการพิจารณาจัดตั้งขึ้นเมื่อในปี พ.ศ. 2511 ศาสตราจารย์ พิมล กลกิจ ได้นำเสนอโครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ สภามหาวิทยาลัยขอนแก่น รับหลักการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ และได้ตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อพิจารณารายละเอียด วิธีการดำเนินงาน และได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลอิสราเอล ส่งผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ รวม 5 คน มาจัดการทำ Master plan ของศูนย์แพทยศาสตร์

สภามหาวิทยาลัยขอนแก่น มีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับหลักการ และแต่งตั้งกรรมการพิจารณารายละเอียดการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2514 และรับหลักการโครงร่างการจัดตั้งศูนย์แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามที่เสนอกับให้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป ซึ่งกรณีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติได้เสนอไปแล้วจนได้บรรจุเข้าใน "แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 3" (พ.ศ. 2515 - 2519) [2]

คณะกรรมการบริหารสภาการศึกษาแห่งชาติ อนุมัติการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2515 และประกาศจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์อย่างเป็นทางการขึ้น เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2515 โดยมีนายแพทย์กวี ทังสุบุตรรักษาการในตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ และเป็นผู้อำนวยการศูนย์แพทยศาสตร์[3]

คณะแพทยศาสตร์ เริ่มรับนักศึกษาแพทย์รุ่นที่ 1 ในปี พ.ศ. 2517 โดยคัดจากคณะวิทยาศาสตร์ - อักษรศาสตร์ จำนวน 16 คน เพื่อมาเรียนปีที่สองในคณะแพทยศาสตร์ และเปิดรับสมัครรุ่นที่ 2 เป็นจำนวน 44 คน ในปี พ.ศ. 2518 มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบในการรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลนิวซีแลนด์ ในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโรงพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเริ่มเปิดบริการผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ อาคารชั่วคราวบริเวณสีฐาน โดยมีรองศาสตราจารย์ นายแพทย์นภดล ทองโสภิต ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนแรก[4]

                                             การก่อสร้างโรงพยาบาล[แก้]

โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น เริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2518 โดยบริษัท Llewelyn-Davies Weeks Forester-Walkers and Bor. แห่งประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบ และบริษัท Kingston Reynolds Thom & Allardice Limited (KRTA) แห่งประเทศนิวซีแลนด์เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง และเป็นที่ปรึกษาการวางแผนผังออกแบบสร้างคลังเลือดกลาง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์อาคารโรงพยาบาล ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ (SRINAGARIND HOSPITAL) โรงพยาบาลแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2521 และเริ่มเปิดบริการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในปัจจุบัน[5] งานวางศิลาฤกษ์[แก้]

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเจิมและทรงพระสุหร่าย พระพุทธชินราชจำลอง ณ พระวิหาร โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์โดยเสด็จด้วย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้เสด็จมาเบิกพระเนตร และทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในพระพุทธ ชินราชจำลอง และได้พระราชทานนามว่า "พระพุทธกวี กิตติวรรณ ทังสุบุตร นิมิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น" สถิตย์มังคลากรมุมินทร์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2523

                                            การเปิดโรงพยาบาล



สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเททองหล่อพระรูปสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระศรีนครินทรา ณ บริเวณวัดเบญจมบพิตร โดยใช้เงินที่นักศึกษาแพทย์ และนักศึกษาใน ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้ร่วมกันออกรับบริจาคจากประชาชน โดยการออกขายธงวันมหิดล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา ได้รวบรวมเงินได้ประมาณ 300,000 บาท เศษ และได้อัญเชิญพระรูปจำลองสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ขึ้นพระดิษฐานบนแท่นหน้าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2526
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ และได้ทรงแนะนำให้ก่อสร้างอาคารสูงขึ้นกว่าเดิม โดยนายประมวล สภาวสุ ได้สนองต่อพระราชกระแสได้แก้ไขแบบก่อสร้าง อาคารจาก 2 ชั้น เป็น 4 ชั้น และคณะแพทยศาสตร์ ได้ขอพระราชทานนามอาคารหลังนี้ว่า "อาคาร 89 พรรษาสมเด็จย่า" และในอาคารหลังนี้ ทางคณะได้แบ่งหอผู้ป่วย จำนวน 1 หอ เป็นหอผู้ ป่วยสำหรับสงฆ์อาพาธโดยเฉพาะ โดยการประสานงานกับพระอาจารย์ทูล ขิปปัญโญ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และบรรดาศิษยานุศิษย์ ได้ร่วมกันจัดหากองทุนถวายแก่หลวงปู่เทศก์ เทศรังสี ซึ่งได้บริจาคเงิน 9 ล้านบาท เป็นงบประมาณซื้อครุภัณฑ์ ส่วนเงินที่เหลือให้จัดเป็นกองทุนดำเนินการหอสงฆ์อาพาธต่อไป และหลวงปู่เทศก์ เทศรังสี ยังได้อนุญาตให้ใช้ชื่อหอ สงฆ์นี้ว่า หองสงฆ์อาพาธ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฎ (หลวงปู่เทศก์ เทศรังสี) นอกจากนี้ ฯพณฯ ประมวล สภาวสุ ศาสตราจารย์ นายแพทย์นี รักษ์พลเมือง คุณวาริน พูนศิริวงศ์ คุณผานิต พูนศิริวงศ์ และคุณหญิงสุเนตร พงษ์โสภณ ได้จัดการแสดงคอนเสริตและหาเงินบริจาคเพื่อเป็นเงิน กองทุน จัดซื้อุปกรณ์และเครื่องมือ ผ่าตัดเป็นเงินอีก 50 ล้านบาท

วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

                                                                   ประวัติ




ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้อนุมัติจัดตั้งโรงเรียนเสนารักษ์กองทัพบกขึ้น โดยเป็นหลักสูตรแพทย์ประกาศนียบัตร ระยะเวลาศึกษา 4 ปี 6 เดือน ดำเนินการผลิตแพทย์เพื่อรับใช้กองทัพจนถึงปี พ.ศ. 2490 รวมทั้งสิ้น 4 รุ่น แล้วหยุดไปเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรอาจารย์แพทย์และอุปกรณ์การเรียนการสอน อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมมีความตระหนักถึงภารกิจที่สำคัญของแพทย์ทหาร จึงได้หาแนวทางปฏิบัติต่างๆ อาทิ การรับแพทย์ภายในประเทศเข้ารับราชการ ตลอดจนให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเตรียมทหารเข้าศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ในระหว่างปีการศึกษา 2511 ถึงปีการศึกษา 2516 แล้วก็ต้องยุติไป เนื่องจากกระแสต่อต้านที่รุนแรงจากหลายฝ่าย ที่เกรงว่าจะทำให้ผลิตแพทย์ที่ไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่
พระราชวังพญาไทวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2511 โดยกรมแพทย์ทหารบกได้เสนอเรื่องขอจัดตั้ง "โรงเรียนแพทย์ทหาร" เนื่องเกิดความขาดแคลนแพทย์ทหารอย่างมากในกองทัพ ทำให้มีการรื้อฟื้นแนวคิดในการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมาอีกครั้ง และได้รับอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 แต่ต้องชะลอโครงการไว้ เนื่องจากไม่ได้รับสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารได้เริ่มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้พระราชทานจากกระแสพระบรมราโชวาทแก่นิสิตแพทย์ ณ หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2516 มีใจความสำคัญว่า
            เดิมทางทหารมีความจำเป็นที่จะรับสมัครแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลทหารและกิจการของทหาร เพราะว่าเวลารับสมัครแล้วไม่มีใครสมัคร และทำไมไม่มีใครสมัคร ก็เข้าใจว่า เพราะว่าการเป็นแพทย์ทหารนั้นเหนื่อย การเป็นแพทย์นี้ก็เหนื่อยอยู่แล้ว คือต้องรักษาพยาบาลคนไข้ไม่เลือก มีงานในเวลาราชการแล้ว นอกเวลาราชการก็ต้องมีงานอีก นอกจากนั้นเป็นแพทย์ทหารก็ยังมีว่า ต้องออกไปปฏิบัติงานสนาม ซึ่งอาจต้องฝ่าอันตราย คนเราที่จะต้องฝ่าอันตรายก็อาจกลัวได้ อาจเสียวว่าอาจต้องเสียชีวิต หรือจะต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้เวลาเป็นแพทย์ทหาร ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ต้องปฏิบัติงานของตน เครื่องมือเครื่องใช้ก็อาจจะไม่ครบถ้วน ก็เกิดความรู้สึกที่ท้อใจ เพราะว่าเรียนมาแล้วมีความรู้ดี ไม่สามารถที่จะเรียนต่อ ไม่สามารถที่จะค้นคว้า ไม่สามารถที่จะมีเครื่องมือ ที่ทันสมัยที่ใหญ่โต นอกจากนั้นก็มีอื่นๆ ก็คือเงินเดือนไม่มาก ทั้งการไปดูงานเมืองนอกก็ไม่ค่อยมีนัก ฉะนั้นก็ไม่มีใครอยากเป็นแพทย์ทหาร ก็มีความจำเป็นที่จะมีแพทย์ทหารทางราชการทหาร ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในด้านวิชานี้ ซึ่งก็มีเหตุผลอยู่เมื่อมีการแสดงความไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วยในการนี้ก็ทำตาม คือระงับการเรียนในมหาวิทยาลัย ก็เป็นอันว่าการวุ่นวายก็ได้ผลดีคือ ได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งจุดประสงค์อันนี้ก็ไม่ต้องขอบอกว่า ไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คิดเอาเอง ครั้นมาถึงเวลาที่บอกว่าไม่มาฝากแล้ว ทางราชการทหารจะตั้งโรงเรียนแพทย์เอง คือ โรงเรียน สำหรับแพทย์ทหาร ก็เกิดโวยวายขึ้นมาใหม่โวยวายว่า ทำไมทหารต้องมีแพทย์ทหาร มีโรงเรียนแพทย์ทหารตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ในการที่ทหารมาฝากเรียนก็มากินที่คนอื่น เมื่อกินที่คนอื่นเขาก็ต้องทำที่ที่อื่น ไม่มาเบียดเบียน ทำไมเมื่อเขาตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมาจะต้องโวยวาย อันนี้ก็ต้องมีเหตุผลในสมอง ไม่ขอผ่าสมองดูว่าคิดถูกหรือไม่ถูก หรืออาจเป็นคนละคนก็ได้ หรืออาจไม่ได้ทันคิดว่าคำพูดสองอย่างนี้มันขัดกัน ฉะนั้นก็ถึงขอร้องท่านทั้งหลายว่า ถ้าจะคิดอะไรหรือจะปฏิบัติการใดๆ ก็ขอให้คิดให้รอบคอบเสียก่อน ว่าจะเอาอะไรแน่ ถ้าเอาอะไรแน่แล้วก็ปฏิบัติไปจะได้ผลดี
             อันเป็นผลสำคัญยิ่งให้สภาการศึกษาวิชาทหารได้ให้ความเห็นชอบ ในการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์ทหารเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2516 [3]
ต่อมาเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2517 กรมแพทย์ทหารบกได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นชื่อของสถาบัน จึงขออนุมัติเปลี่ยนชื่อจาก "วิทยาลัยแพทย์ทหาร" เป็น "วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า" จนถึงปัจจุบัน
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ในการประชุมร่วมระหว่างกองบัญชาการทหารสูงสุดและผู้แทนสามเหล่าทัพ ได้อนุมัติให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยงานในความรับผิดชอบของกองทัพบก โดยให้กรมแพทย์ทหารบก มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการผลิตนักเรียนแพทย์ทหารปีละ 32 นาย ในโครงการจัดตั้ง 10 รุ่น (รุ่นที่ 1 จบปีการศึกษา 2524 ถึงรุ่นที่ 10 จบปีการศึกษา 2534)
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2518 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้รับอนุมัติเข้าสมทบกับมหาวิทยาลัยมหิดล[4] เพื่อประสาทปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ทำให้การก่อตั้งวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีความสมบูรณ์ กระทรวงกลาโหมจึงมีคำสั่งลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมแพทย์ทหารบก และอนุมัติให้เปิดดำเนินการได้ จึงถือเอาวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 เป็นวันสถาปนาวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าใช้หลักสูตรของทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาในการศึกษา 7 ปี (เตรียมแพทย์ 2 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 2 ปี และแพทย์ฝึกหัด 1 ปี) แต่ปี พ.ศ. 2518 ถึงปี พ.ศ. 2523 จนมีการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตเป็น 6 ปี (เตรียมแพทย์ 1 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 3 ปี) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ผู้บัญชาการทหารบกอนุมัติให้ผลิตนักเรียนแพทย์ทหารเพิ่มจาก 32 เป็น 65 นายต่อปี ประกอบกับในขณะนั้นรัฐบาลมีโครงการผลิตแพทย์เพิ่มให้พอกับความต้องการของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึงปี พ.ศ. 2544 จากนั้นชะลอโครงการประมาณ 2 ปีเนื่องจากสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ แต่ภายหลังในปี พ.ศ. 2547 จึงกลับมารับนักเรียนแพทย์ทหารเป็น 65 นายต่อ
ในปี พ.ศ. 2548 ความขาดแคลนแพทย์และศักยภาพของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขให้งบประมาณสนับสนุน รับนักเรียนแพทย์ทหารได้เป็น 100 นายต่อปี แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกำลังพลของกองทัพ ไม่สามารถบรรจุแพทย์ทหารเข้ารับราชการได้ทุกนาย วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจึงได้ทำข้อตกลงกับสถาบันพระบรมราชชนก ให้รับบัณฑิตแพทย์เข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุข ทำให้เกิดนโยบายการรับบุคคลเข้าศึกษา 100 คนแบ่งเป็น นักเรียนแพทย์ทหาร และนักศึกษาแพทย์ชาย-หญิง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าก่อตั้งครบ 20 ปี จึงได้ก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ขึ้น และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามว่า "พระมงกุฎเกล้าเวชวิทยา" นอกจากนี้ยังทรงรับเป็นองค์อุปถัมถ์ "มูลนิธิเพื่อวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า"อีกด้วย
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีการพัฒนาทั้งทางด้านวิชาการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน อาทิเช่น สนับสนุนการวิจัยให้แก่นักเรียนแพทย์ทหาร ตลอดจนอาจารย์แพทย์ทั้งชั้นปรีคลินิก และให้ทุนการศึกษาแก่ผู้มีผลการเรียนดีไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ การสนับสนุนการศึกษาต่อและดูงานต่างประเทศของอาจารย์และนักเรียนแพทย์ทหาร การก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ สระว่ายน้ำ อาคารหอพัก โรงประกอบเลี้ยงและซักรีด ทั้งยังหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อให้เพียงพอต่อการเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนแพทย์ทหาร เป็นต้น
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้ผลิตบัณฑิตแพทย์ทหาร ซึ่งได้จัดสรรให้แก่เหล่าทัพต่างๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกำลังพล ครอบครัว ตลอดจนประชาชนที่อยู่ห่างไกล หรือพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเป็นการบรรเทาการขาดแคลนแพทย์ในกองทัพ และในชนบทของประเทศได้เป็นอย่างดี

 ตราสัญลักษณ์ของวิทยาลัย

พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมรัศมี หมายถึง ราชอิสริยาภรณ์ ราชาธิปไตย อันเป็นเครื่องประดับพระเศียร พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีสร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสวมในพิธีพระบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีสำคัญ
เลข ๖ ใน วงกลมหมายถึง รัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงสร้างพระราชวังพญาไท ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้ง วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ปัจจุบัน (บางส่วน)
รร ในวงกลมหมายถึง พระนามาภิไธยย่อ รามราชาธิบดี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พญานาค หมายถึง วิชาแพทย์ ที่พระวิศวามิตร์เล่าไว้ในบ่อเกิดรามเกียรติ์ว่า เทวดา และอสูร ต้องการเป็นอมตะ จึงทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยใช้เขามนทรคีรีเป็นไม้กวน นำพญาวาสุกรีเป็นเชือก เป็นผลให้เกิดประถมแพทย์ ธันวันตะรี ผู้ชำนาญในอายุรเวท[7]
                                                      เพลงประจำวิทยาลัย
เพลงมาร์ช วพม. ประพันธ์คำร้องโดย พลโท นายแพทย์ อำนาจ บาลี ประพันธ์ทำนองโดย สมาน กาญจนะผลิน
                                                                 ดอกไม้ประจำวิทยาลัย
                                                                      ดอกอินทนิล


                                                   สีประจำวิทยาลัย
* สีขาบ หรือ น้ำเงินเข้ม(ทางการ) และ สีเขียว-เหลือง (ไม่เป็นทางการ ใช้เป็นสีประจำวิทยาลัยก่อนที่จะประกาศใช้เป็นสีขาบ ซึ่งสีเขียว-เหลืองเป็นสีขอบหมวกของนักเรียนแพทย์ทหาร
ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า[แก้]วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีผู้อำนวยการมาแล้ว 18 คน ดังรายนามต่อไปนี้
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
                                           รายนามผู้อำนวยการ วาระการดำรงตำแหน่ง
1. พลตรี ยง วัชระคุปต์ พ.ศ. 2518-2520
2. พลตรี สอาด ประเสริฐสม พ.ศ. 2520-2524
3. พลตรี สิงหา เสาวภาพ พ.ศ. 2524-2527
4. พลตรี อมฤต ณ สงขลา พ.ศ. 2527-2531
5. พลตรี ปัญญา อยู่ประเสริฐ พ.ศ. 2531-2532
6. พลตรี ธรรมนูญ ยงใจยุทธ พ.ศ. 2532-2535
7. พลตรี สุจินต์ อุบลวัตร พ.ศ. 2535-2536
8. พลตรี ปรียพาส นิลอุบล พ.ศ. 2536-2538
9. พลตรี จุลเทพ ธีระธาดา พ.ศ. 2538-2540
10. พลตรี ประวิชช์ ตันประเสริฐ พ.ศ. 2540-2541
11. พลตรี บุญเลิศ จันทราภาส พ.ศ. 2541-2544
12. พลตรี อิสสระชัย จุลโมกข์ พ.ศ. 2544-2546
13. พลตรี สหชาติ พิพิธกุล พ.ศ. 2546-2549
14. พลตรี ภานุวิชญ์ พุ่มหิรัญ พ.ศ. 2549-2550
15. พลตรี กิตติพล ภัคโชตานนท์ พ.ศ. 2550-2552
16. พลตรี กฤษฎา ดวงอุไร พ.ศ. 2552-2553
17. พลตรี ดิตถ์ สิงหเสนี พ.ศ. 2553-2555
18. พลตรี ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ พ.ศ. 2555- ปัจจุบัน
ภาควิชา[แก้]ปัจจุบัน วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วยภาควิชา 21 ภาควิชา ได้แก่
                  ชั้นปรีคลินิก
      -ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
      -ภาควิชาชีวเคมี
      -ภาควิชาสรีรวิทยา
      -ภาควิชาเภสัชวิทยา
      -ภาควิชาจุลชีววิทยา
      -ภาควิชาพยาธิวิทยา
      -ภาควิชาปรสิตวิทยา
      -ภาควิชาเวชศาสตร์ทหารและชุมชน
                  ชั้นคลินิก
      -ภาควิชาอายุรศาสตร์
      -ภาควิชาศัลยศาสตร์
      -ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
      -ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา
      -ภาควิชาศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์
      -ภาควิชาจิตเวชและประสาทวิทยา
      -ภาควิชาวิสัญญีวิทยา
      -ภาควิชารังสีวิทยา
      -ภาควิชาจักษุวิทยา
     -ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
     -ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
     -ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
     -ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว

                                                การรับบุคคลเข้าศึกษา
การรับบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ของทางวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏ มีการรับสมัครเฉพาะผ่านทางระบบแอดมิดชันตรง ร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) เท่านั้น มีจำนวนรวม 100 คน
โดยได้แยกการรับระหว่างชาย กับหญิงดังนี้
ชาย 60 นาย (รวมถึงผู้ที่ต้องการรับทุนกองทัพบกจำนวน 20 นาย ซึ่งจะทำการคัดเลือกหลังจากจบการศึกษาชั้นปีที่ 1 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว)
หญิง 40 คน
ในปัจจุบัน สำหรับการสอบคัดเลือกนั้นจะต้องทำการสอบวิชาเฉพาะ ซึ่งข้อสอบออกโดยกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(กสพท.) และสอบวิชาสามัญ ข้อสอบออกโดย สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทศ.)
การศึกษา[แก้]
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าการเรียนการสอนวิชาแพทย์[แก้]แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ชั้นเตรียมแพทย์
ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ตามข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518) ให้นิสิตเตรียมแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเตรียมแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า) เป็นระยะเวลา 1 ปี การศึกษาจะอยู่ในความรับผิดชอบตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (เมื่อเรียนจบครบตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณทิตแล้ว จึงจะได้ วุฒิ วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเตรียมแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วย) การเรียกผู้เรียนว่า"นิสิต" ตามศักดิ์และสิทธิของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชั้นปรีคลินิก
มีการจัดการเรียนการสอน ณ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (เดิมการเรียนการสอนใช้สถานที่สถาบันพยาธิวิทยา กรมแพทย์ทหารบก ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า) เป็นเวลา 2ปี
ชั้นคลินิก
ใช้สถานที่ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นเวลา 3 ปี
การฝึกวิชาทหารและเวชศาสตร์ทหาร[แก้]มีการจัด "วิชาทหาร"และ "เวชศาสตร์ทหาร" ไว้ในหลักสูตร ดังนี้
         การฝึกพื้นฐานทางการทหาร
เป็นการฝึกวินัยทหารทั่วไป บุคคลท่ามือเปล่า บุคคลท่าอาวุธ วิชาอาวุธศึกษา วิชาแผนที่และเข็มทิศ โดยฝึกวินัยทหารทั่วไปและบุคคลท่ามือเปล่าที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ส่วนบุคคลท่าอาวุธ วิชาอาวุธศึกษา วิชาแผนที่และเข็มทิศ จะทำการฝึกที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)
ทักษะทางการแพทย์ในสนามรบ
เป็นการสอนการจัดกำลังพลของหมวดเสนารักษ์ การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บในสนามรบ ทบทวนการฝึกพื้นฐาน ฝึกการซุ่มโจมตีและเล็ดลอดหลบหนี โดยเรียนภาคทฤษฎีที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และฝึกภาคสนามที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ปฏิบัติการเพชราวุธ
เป็นการสอนในรายวิชา "เวชปฏิบัติการยุทธ" เป็นการฝึกการจัดการบริการสายแพทย์ในระดับหน่วยและระดับกองพล ภายใต้สถานการณ์จำลองการรบต่างๆทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลาติดต่อกัน72ชั่วโมง เพื่อให้นักเรียนแพทย์ทหารได้ฝึกฝนและสัมผัสกับประสบการณ์การจัดหน่วย การดูแลผู้ป่วย และการส่งกลับผู้บาดเจ็บในสนามรบ ทั้งการใช้เปลสนาม รถพยาบาล รถศัลยกรรมเคลื่อนที่ และการส่งทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์
หลักสูตรส่งทางอากาศ
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เรียนร่ม เป็นวิชาเลือกจะเรียนร่วมกับนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มุ่งเน้นให้มีความรู้และทักษะในการกระโดดร่ม
สิทธิที่จะได้รับขณะกำลังศึกษาและเมื่อจบการศึกษา[แก้]นักเรียนแพทย์ทหารชายและหญิง มีสภาพเป็นนักเรียนทหารของกองทัพบก มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่านักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
นักเรียนแพทย์ทหารชายจะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร ตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 และนักเรียนแพทย์ทหารหญิงก็จะได้รับการบรรจุรับราชการตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 หากได้รับบรรจุเข้าสังกัดกองทัพ
นักเรียนแพทย์ทหารได้รับการจัดสถานที่พัก เครื่องนอน เครื่องแต่งกาย เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง อุปกรณ์การเรียน การรักษาพยาบาล และสิทธิอื่นๆ ตามที่ทางราชการกำหนด
นักเรียนแพทย์ทหารเข้าศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าลงทะเบียน และค่าหน่วยกิตใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 จนจบการศึกษา ทั้งนี้ตามที่ระเบียบวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ากำหนดไว้ในแต่ละปี
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีทุนการศึกษาให้กับนักเรียนแพทย์ทหารที่มีผลการเรียนดี หรือที่มีปัญหาทางด้านการเงิน
เมื่อจบการศึกษาจะได้รับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล
นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนกองทัพบกจะได้รับพระราชทานยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร (ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี) และบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์ทหารในสังกัดกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ หรือกองบัญชาการทหารสูงสุด
นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนสาธารณสุข หากไม่ได้รับบรรจุเป็นแพทย์ทหารเข้าสังกัดกองทัพ จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับแพทย์ที่จบจากสถาบันพลเรือนอื่น ๆ
ผู้ที่มีผลการเรียนดีตลอดหลักสูตร มีทุนกองทัพบกสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อเพิ่มเติม ณ ต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต





วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตก่อตั้งโดยมติที่ประชุมกรรมการสภามหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2532 และทบวงมหาวิทยาลัยได้อนุญาตให้ดำเนินการรับนักศึกษาและเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2532 จึงถือเป็นคณะ/วิทยาลัยที่จัดตั้งขึ้นเป็นลำดับที่ 12 ของมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งที่ 9 ของประเทศไทย เริ่มเปิดรับนักศึกษาแพทย์ รุ่นที่ 1 ปีการศึกษา 2532 ซึ่งต่อมาแพทยสภาได้รับรองหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 2/2537 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2537 โดยกำหนดหลักการให้มีการจัดตั้งมูลนิธิเป็นเงื่อนไขในการเปิดดำเนินการของโรงเรียนแพทย์เอกชน โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการเรียนการสอนของหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ให้ผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีคุณภาพตามที่กำหนด เป็นผลให้ในเวลาต่อมา ได้มีการลงนามข้อตกลงการร่วมผลิตแพทย์ภาคคลินิก ระหว่างกรมการแพทย์ และมหาวิทยาลัยรังสิต ในวันที่ 15 มีนาคม 2537 โดยร่วมกันจัดตั้งสถาบันร่วมผลิตแพทย์ระหว่างกรมการแพทย์ และมหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนในภาควิชาคลินิก (นักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชั้นปีที่ 4, 5 และ 6) ทั้งหมด และการจัดตั้งมูลนิธิสถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์และมหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อเป็นกองทุนรับผิดชอบในการดำเนินการร่วมผลิตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยรังสิต [2]จึงถือเป็นสถาบันแพทยศาสตร์ของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ 
เดือนกุมภาพันธ์ 2539 มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ทำสัญญาความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และได้จัดสัมมนาเรื่อง "การประกันคุณภาพแพทยศาสตรศึกษา" ระหว่างคณาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กับคณะแพทยศาสตร์ ทุกคณะในประเทศไทย 
เดือนตุลาคม 2539 ได้มีการปรับปรุงการเรียนการสอนตามหลักสูตร เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาการของวิชา และความก้าวหน้าของวิทยากร ทบวงมหาวิทยาลัยจึงอนุญาตให้รับนักศึกษาเพิ่มจากปีละ 48 คน เป็นปีละ 100 คน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2539 
พ.ศ. 2541 มหาวิทยาลัยรังสิต มีนโยบายปรับปรุงวิชาในหมวดการศึกษาทั่วไปของหลักสูตรระดับปริญญาบัณฑิตให้อยู่ในโครงสร้างอันเดียวกัน และปรับปรุงระบบการศึกษาจากระบบทวิภาคเป็น ระบบไตรภาค วิทยาลัยแพทยศาสตร์จึงได้ปรับหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตใหม่จากระบบทวิภาคเป็นระบบไตรภาคตามโครงการที่มหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อให้เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนในหลักสูตร ในปีการศึกษา 2542 ได้รับอนุมัติตลอดหลักสูตร 6 ปี เท่ากับ 263 หน่วยกิต ตามระบบทวิภาคซึ่งจะเท่ากับ 328 หน่วยกิต ตามระบบไตรภาค 
พ.ศ. 2544 มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ปรับระบบการศึกษาจากระบบไตรภาคเป็นระบบทวิภาค วิทยาลัยแพทยศาสตร์จึงได้ปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตใหม่จากระบบ ไตรภาคเป็นทวิภาคตามเดิมคือ 263 หน่วยกิต ตั้งแต่ปีการศึกษา 2544 เป็นต้นไป 
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2545 คณะแพทยศาสตร์ ได้ยกระดับเป็น วิทยาลัยแพทยศาสตร์ เพื่อให้มีการบริหารงาน การจัดการและการพัฒนาเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนระดับโลก ตามประกาศของมหาวิทยาลัยรังสิต เรื่อง ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการบังคับบัญชา 
ในปีการศึกษา 2549 ได้ปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2548 และมีหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 251 หน่วยกิต 

ปีการศึกษา 2550 วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตได้เพิ่มแนวทางการรับนักศึกษาแพทย์จากจากเดิมเพียงผ่านระบบการคัดเลือกส่วนกลาง โดยเข้าร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) และยังคงมีสัดส่วนจำนวนรับร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)เช่นเดิม 
ปัจจุบัน มีบัณฑิตแพทย์จำนวนมากมายที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งปฏิบัติงานในการสร้างเสริมสุขภาพให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ในหน่วยงานต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ทหารบก โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ทหารอากาศ โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงพยาบาลในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชน 



                             
                  การรับบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต[แก้]

การรับบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ของทางวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มีจำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ และอีก 1 โครงการย่อย ดังนี้
โครงการสอบตรงผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยรังสิต ครั้งที่ 1
เป็นการสอบเข้าโดยใช้ข้อสอบที่มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นผู้ออกข้อสอบเอง และจัดสอบเอง ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนกลาง โดยจะเปิดรับสมัครประมาณเดือนกันยายน และจะทำการสอบในปลายเดือนตุลาคม ของทุกปี
                             โครงการรับตรงสำหรับนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ
เป็นโครงการย่อยที่อยู่ในโครงการรับตรง ครั้งที่ 1 โดยจะรับสมัครนักเรียนที่จบหลักสูตรจากโรงเรียนนานาชาติ หรือต่างประเทศ โดยใช้ผลการเรียน การสัมภาษณ์ และการทำข้อสอบวิชาเฉพาะแพทย์ เพื่อคัดบุคคลเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัย
                        ระบบแอดมิดชันกลางโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
โครงการนี้จะรับนักศึกษาแพทย์ผ่านทาง สกอ. โดยที่จะใช้คะแนน [GAT 20%], [PAT2 30%] และ GPA ของนักศึกษาในการคิด ซึ่งจะคิดในระบบของวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากนั้นให้ยื่นผ่านทางระบบแอดมิสชั่น เข้าวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยปกติจะทำการสมัครในเดือนเมษายนของทุกปี
     ระบบแอดมิดชันตรง ร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.)[3] เป็นโครงการที่เปิดเพิ่มเติมขึ้นมาอีกโครงการรบนักศึกษาแพทย์ ในปีการศึกษา 2550[4] โดยจะใช้คะแนน A-Net เป็นหลักในการคำนวณคะแนน และใช้คะแนน O-Net เป็นข้อบังคับพื้นฐาน 60% จากนั้นจะยื่นผ่าน กสพท. เข้ามา ในปกติจะรับสมัครในเดือนสิงหาคม และประกาศผลในเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี
                 โครงการสอบตรงผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยรังสิต ครั้งที่ 2
ลักษณะของโครงการรับนักศึกษาจะเหมือนกัน โครงการรับตรงผ่านการสอบเข้าของมหาวิทยาลัยรังสิต ครั้งที่ 1 แต่จะเปิดรับสมัครในเดือนพฤศจิกายน และทำการสอบในเดือนพฤษภาคม ของทุกปี
การศึกษา
การเรียนการสอนในวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้
                                           

                                      การเรียนในภาคปรีคลินิก[แก้]
มีการเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน เป็นการปูพื้นฐานเพื่อจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในภาคคลินิก ซึ่งรับผิดชอบโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งอาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์สอนเป็นหลัก โดยอาจารย์แพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ สถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ ซึ่งเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลราชวิถีและสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมสอนด้วย นอกจากนี้ยังมีอาจารย์พิเศษจากโรงเรียนแพทย์ต่างๆมาบรรายายในหัวข้อต่างๆ ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่เรียนในอาคารวิทยาศาสตร์ (อาคาร 4) ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยรังสิต และอาคารสถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต ภายในพื้นที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเรียนจบวิชาพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของการเรียนในภาคปรีคลินิก ประมาณเดือนพฤศจิกายน นักศึกษาแพทย์จะย้ายมาเรียนภาคคลินิกที่โรงพยาบาลราชวิถีต่อไป
                           

                                          การเรียนในภาคคลินิก[แก้]
การเรียนในภาคคลินิกรับผิดชอบโดย สถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต โดยจะเรียนกับอาจารย์สังกัดกรมการแพทย์ ของโรงพยาบาลราชวิถีและ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี(รพ.เด็ก) และฝึกปฏิบัติการภาคคลินิกในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาลทั้ง 2 ซึ่งในภาคคลินิกนี้จะเน้นในการฝึกปฏิบัติการหรือการทำหัตถการเป็นส่วนใหญ่ควบคู่ไปกับการเรียนภาคบรรยาย และในการฝึกภาคสนามชั้นปีที่ 6 นั้น จะฝึกที่โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา โรงพยาบาลสนามชัยเขต โรงพยาบาลพนมสารคามจังหวัดฉะเชิงเทรา และ โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี สถานที่จัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยแพทยศาสตร์[แก้]

                      วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มีพื้นที่ในส่วนต่างๆ ดังนี้
สถานที่ภายในมหาวิทยาลัยรังสิต[แก้]
ห้องสโมรสรนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิต





                        ห้องสโมสรนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ห้องสโมสรนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยรังสิต อยู่ภายในอาคารรูปสี่เหลี่ยมที่ตั้งระหว่างอาคารวิทยาศาสตร์ (ตึก 4) และอาคารวิษณุรัตน์ (ตึก 5) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคารวิษณุรัตน์ (ตึก 5/1) โดยอาคารแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปีการศึกษา 2550 เพื่อใช้เป็นห้องสโมสรของนักศึกษาคณะต่างๆ ทั้งสิ้น 4 คณะ โดยที่ทางมหาวิทยาลัยได้มอบห้องสโมสรนักศึกษาให้แก่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ ทั้งหมด 3 ห้อง เพื่อใช้ทำกิจกรรม, ประชุมงาน หรือเป็นที่อ่านหนังสือสำหรับนักศึกษาแพทย์โดยเฉพาะ
อาคารปฏิบัติการวิทยาลัยแพทยศาสตร์
เป็นอาคารที่ใช้ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์ ซึ่งทางวิทยาลัยแพทยศาสตร์ได้พื้นที่ในส่วนด้านตะวันออก อาคารนี้สร้างเสร็จเมื่อปลายปีการศึกษา 2550 และพร้อมใช้งานได้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางวิทยาลัยแพทยศาสตร์วางแผนที่จะเปิดสำนักงานถาวรของวิทยาลัยฯ ในอาคารนี้ และนอกจากนี้จะมีห้องไว้สำหรับอ่านหนังสือ, ประชุม, สืบค้นข้อมูล และอื่นๆ สำหรับนักศึกษาแพทย์
สถานที่ภายในโรงพยาบาลราชวิถี[แก้]
สถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต


               อาคารสถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ หรือ อาคารประสิทธิ์ อุไรรัตน์ เป็นสถานที่ของสถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ ไม่ได้ถือเป็นสถานที่ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์โดยตรง แต่สร้างโดยงบประมาณของมหาวิทยาลัยรังสิต ที่มอบเป็นทุนประเดิมให้แก่ มูลนิธิสถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดการเรียนการสอน และประสานงานระหว่างกรมการแพทย์และมหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อพัฒนาคุณภาพนักศึกษาแพทย์ ในระยะยาวที่ส่งเข้ามาเรียนในความรับผิดชอบของสถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ ปัจจุบันตั้งอยู่ภายในเขต โรงพยาบาลราชวิถีบริเวณด้านฝั่งถนนพญาไท ติดกับทางด้านสถานีรถไฟฟ้าBTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีลักษณะโครงสร้างเป็นอาคารสูง 6 ชั้น หลังก่อสร้างเสร็จคุณพ่อประสิทธิ์ อุไรรัตน์ ได้มอบ พระพุทธรูปปางป่าเรไรประทานพร ประดิษฐานเป็นศูนย์รวมจิตใจของนักศึกษาแพทย์ ที่โถงชั้นล่างของอาคาร และแต่ละชั้นแบ่งพื้นที่การใช้สอยโดยโดยแบ่งดังนี้
ชั้นที่ 1 เป็นห้องเรียนภาคบรรยาย จำนวน 3 ห้องเรียน และมีห้องเรียนภาคปฏิบัติ "ห้องปฏิบัติการ ศ.นพ.ประสงค์ ตู้จินดา"จำนวน 1 ห้อง และร้านถ่ายเอกสาร
ชั้นที 2 เป็นสำนักงานของสถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ,สำนักงานคณบดี และห้องประชุมย่อย จำนวน 1 ห้อง
ชั้นที่ 3 เป็นสำนักงานวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ห้องสมุดสถาบันร่วมฯ และห้องประชุมอาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นห้องประชุมพื้นยกระดับขนาดใหญ่ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน การประชุมต่างๆ ของสถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ
ชั้นที่ 4 เป็นห้องประชุมสโมสรนักศึกษาแพทย์, ห้องบรรยายขนาดเล็ก, ห้องพักผ่อน, เครื่องออกกำลังกาย และกั้นพื้นที่เป็นหอพักหญิง
ชั้นที่ 5 เป็นบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องอ่านหนังสือ และหอพักชาย
ชั้นที่ 6 เป็นหอพักหญิง
สถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต[แก้]
ประวัติการจัดตั้ง [5] วิทยาลัยรังสิต มีหนังสือที่ วรส 595/2531 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2531 ถึงทบวงมหาวิทยาลัย ขออนุญาตเปิดดำเนินการหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้มีหนังสือที่ วรส. 216/2531 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 ถึงสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือ ให้นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เข้าฝึกปฏิบัติงาน ณ โรงพยาบาลเด็ก (ปัจจุบันเป็น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี) โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัยต่างๆ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาอนุมัติในหลักการให้สถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน สำหรับนักศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ สำหรับโรงพยาบาลเด็ก และโรงพยาบาลราชวิถี นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือไปยังกรมการแพทย์ ในการอนุมัติสถานที่ดังกล่าวแล้ว โดยแจ้งให้มหาวิทยาลัยรังสิตทราบ ตามหนังสือ ที่ สธ 0212/4 - 4/636 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2531 ทบวงมหาวิทยาลัยอนุมัติให้วิทยาลัยรังสิต (ต่อมาได้รับการเปลี่ยนประเภทเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2533) เปิดดำเนินการหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ในปีการศึกษา 2532 ต่อมา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีหนังสือถึงมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ สธ 0301/5339 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2532 แจ้งให้ทราบโดยสรุปว่า
1.ควรให้โรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลเด็ก (ปัจจุบันเป็น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี) เป็นสถานที่สมทบในการศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิต
2.โรงพยาบาลทั้งสองของกรมการแพทย์ มีความสามารถเฉพาะในการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานทางคลินิกของนักศึกษา
3.กรมการแพทย์ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ให้ข้าราชการของกรมการแพทย์ ไปบรรยายนอกสถานที่ให้แก่ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ ตามมติของคณะรัฐมนตรี ที่ สร 0201/ว 144 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2518 โดยจะอนุญาตให้ข้าราชการไปสอนพิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชนในเวชาราชการได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมงสอนต่อสัปดาห์
4.กรมการแพทย์ได้มีหนังสือที่ สธ 0305/8385 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2534 ถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี มอบหมายให้โรงพยาบาลราชวิถี ให้ความร่วมมือในการฝึกอบรมนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต ตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ในหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว
เมื่อแรกเริ่มมีการเรียนในภาคคลินิกในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนในภาคคลินิก และจัดประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทยขึ้น ซึ่งในสมัยนั้น มี นพ.ไพโรจน์ นิงสานนท์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สุจินต์ ผลากรกุล อธิบดีกรมการแพทย์ ได้มีแนวคิดในการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจัดการประสานความมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลิตแพทย์ตามรูปแบบแนวคิดการผลิตแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์เอกชนที่ร่วมมือในการผลิตแพทย์กับภาครัฐ และได้มีการประชุมประสานงานอีกหลายครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2536 กรมการแพทย์และกระทรวงสาธารณสุขมีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้ง สถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต ในขณะนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (พ.ศ. 2536-2538) และได้มีการร่วมลงนามในข้อตกลงการร่วมผลิตแพทย์ระหว่างกรมการแพทย์ (โดย พล.รต.ศ.นพ.วิทุร แสงสิงแก้ว อธิบดีกรมการแพทย์ในสมัยนั้น) กับมหาวิทยาลัยรังสิต (โดยนายประสิทธิ์ อุไรรัตน์ นายกสภามหาวิทยาลัยรังสิต และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเป็นผู้ลงนาม) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2537 ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและเปิดดำเนินนการเรียนกการสอนในภาคคลินิกได้อย่างสมบูรณ์และผลิตแพทย์เอกชน ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพจากอาจารย์ของกรมการแพทย์
ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการร่วมกันระหว่างกรมการแพทย์ และมหาวิทยาลัยรังสิต จัดตั้งเป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์ กรมการแพทย์-มหาวิทยาลัยรังสิต โดยโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ซึ่งสังกัดกรมการแพทย์ จึงเป็นสถานที่เรียนในภาคทฤษฎีและหัตถการต่างๆ ในภาคคลินิก พร้อมทั้งอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งจำนวนกว่า 258 ท่าน ได้อุทิศทุ่มเทกำลังเป็นหลักในการสอนนักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะที่บุคลากรของกรมการแพทย์ด้วยใจและจิตวิญญาณของความเป็นอาจารย์แพทย์ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอีก 4 แห่ง ที่ร่วมเป็นสถานที่ฝึกภาคสนามเฉพาะของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 (extern) ในต่างจังหวัด พร้อมทั้งมีอาจารย์แพทย์คอยถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์ด้วยประสบการตรง ชึ่งจะเวียนออกฝึกภาคสนามเป็นผลัด ผลัดละ 2 เดือน ในปีการศึกษาสุดท้าย